ความน่ากลัวที่สุดของเชื้อ HIV ไม่ใช่การตรวจพบเชื้อ แม้เพียงแค่พบว่าติดเชื้อไวรัสตัวนี้ก็ใจคอไม่ดีแล้ว แต่สิ่งที่น่ากังวลของเชื้อ HIV คือมันไม่ได้ทำร้ายร่างกายผู้ติดเชื้อโดยตรง มันจะค่อย ๆ ทำลายระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายจนอ่อนแอ เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้อย่างง่ายดาย ส่งผลให้เกิดโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ มากมาย ผู้ติดเชื้อจะป่วยลงเรื่อย ๆ จนทรุดหนักกลายเป็นเอดส์ระยะสุดท้าย สิ่งนี้แหละคือความน่ากลัวที่สุดของเชื้อ HIV หนึ่งในเม็ดเลือดขาวภูมิคุ้มกันตัวสำคัญที่ถูกทำลายนั่นก็คือ เม็ดเลือดขาว CD4 (T-helper) ที่ทำหน้าที่ป้องกันเชื้อโรคต่าง ๆ ไม่ให้เข้ามาภายในร่างกาย ยิ่งค่า CD4 ต่ำลงเท่าไหร่หมายความว่าโอกาสในการที่เชื้อโรคจะเข้าสู่ร่างกายก็มากขึ้นเท่านั้น เพราะการที่ค่า CD4 ต่ำก็เท่ากับว่าเม็ดเลือดขาวภูมิคุ้มกันลดลงนั่นเอง
โดยปกติค่า CD4 ควรจะอยู่ที่ประมาณ 600 เซลล์ต่อเลือด 1 ลูกบาศก์มิลลิเมตร ถ้าอยู่ที่ประมาณ 1,000 ขึ้นไปถือว่าเป็นคนที่แข็งแรงมาก ซึ่งสำหรับคนที่เป็นผู้ติดเชื้อ HIV นั้นภูมิคุ้มกันจะค่อย ๆ ถูกทำลายหากกินยาต้านไวรัสที่ไม่เหมาะสมหรือไม่รักษาอย่างถูกวิธี ในกรณีผู้ติดเชื้อถ้าค่า CD4 ลดลงมาเหลือประมาณ 200 ถือว่าเป็นเอดส์แล้ว ร่างกายจะอ่อนแอลงจนเกิดโรคฉวยโอกาสที่รับมือได้ค่อนข้างยาก
“ค่า CD4… ยิ่งต่ำ ยิ่งน่ากลัว”
ยิ่งค่า CD4 ต่ำลงเท่าไหร่นั่นก็หมายความว่าภูมิคุ้มกันในร่างกายยิ่งน้อยลงเท่านั้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าค่า CD4 จะเพิ่มขึ้นไม่ได้ กรณีศึกษาอย่างคุณจอย ผู้ติดเชื้อ HIV เธอเคยมีค่า CD4 ต่ำเหลือเพียงแค่ 3 แต่ก็สามารถเพิ่มขึ้นมาจนเกิน 200 ได้ ด้วย “ภูมิคุ้มกันบำบัด” ที่คิดค้นโดย ศ.ดร. พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา และคณะวิจัย Operation BIM ควบคู่ไปกับการดูแลตนเองอย่างสม่ำเสมอ ในทางร่างกายที่มีสามีคอยดูอยู่ไม่ห่างตั้งแต่อาหารการกินรวมไปจนถึงคอยพาไปตรวจสุขภาพในทุก ๆ ครั้งที่ครบกำหนด และในทางจิตใจคุณจอยยังมีลูก ๆ ที่เมื่อเธอมองไปทีไรก็ได้กำลังใจที่ดีกลับมาในทุกครั้ง ทั้งที่ในตอนแรกเมื่อคุณจอยตรวจพบเชื้อ HIV เธอรู้สึกเหมือนโลกพังทลายด้วยซ้ำ เธอเล่าว่า
หลังจากที่คุณจอยได้รับข่าวร้าย เธอก็เริ่มใช้ยาต้านไวรัสตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา แต่อาการก็ไม่ได้ดีขึ้นอาจจะเป็นเพราะร่างกายของเธออ่อนแออยู่แล้วและได้รับยาต้านไวรัสที่ไม่เหมาะสม คุณจอยเริ่มมีอาการเบื่ออาหาร มีเชื้อราในช่องปาก ไม่มีแรง ไอเรื้อรัง มีเสมหะ ปอดเริ่มอักเสบ ซึ่งลูก ๆ ของเธอไม่ทราบว่าแม่ของพวกเขาติดเชื้อ HIV เพียงแค่เห็นว่าป่วยบ่อยเท่านั้นเอง แล้วเธอก็ยังพอจะทำงานได้และมีสามีคอยดูแลไม่ห่าง สำหรับอาการข้างเคียงดังกล่าว ศ.ดร. พิเชษฐ์ ได้วิเคราะห์ไว้ว่า
“อาการป่วยของคุณจอยเป็นผลข้างเคียงจากการใช้ยาต้านไวรัส เพราะยาต้านไวรัสเป็นเพียงตัวหยุดการ Copy ของไวรัสไม่ให้ขยายตัวแต่ไม่ได้ฆ่าเชื้อไวรัส โอกาสที่ร่างกายจะสร้างตัวเองขึ้นมาต่อสู้นั้นค่อนข้างยาก แล้วค่า CD4 ก็ต่ำมาก ๆ เนื่องจากยาต้านไวรัสอาจจะไปกดค่า CD4 ด้วย หรือมีปัญหาในการสร้าง CD4 ด้วย ถ้าจะให้ค่า CD4 ขึ้นต้องมีการใช้ยาต้านไวรัสตัวใหม่”
“ยาต้านไวรัสไม่ได้ผล ภูมิคุ้มกันบำบัดช่วยได้”
ในระหว่างที่คุณจอยใช้ยาต้านไวรัสแล้วค่า CD4 ยังไม่กระเตื้องขึ้น ด้วยความที่เธอเป็นห่วงลูก ๆ ต่อให้ร่างกายจะแย่แค่ไหนแต่จิตใจเธอคิดเสมอว่าจะต้องสู้เพื่อครอบครัว จึงพยายามหาวิธีการเพื่อรักษาตัวเองให้ได้ จนวันหนึ่งเธอได้เสิร์ชหาวิธีการรักษาในอินเตอร์เน็ตและได้พบกับนวัตกรรม “ภูมิคุ้มกันบำบัด” คุณจอยศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมแล้วพบว่าคนที่อาการแย่กว่าเธอก็สามารถดีขึ้นได้ ตอนนั้นเธอไม่มีอะไรจะเสียแล้วเพราะค่า CD4 ก็ต่ำมากเสียจนมีโอกาสที่จะจากโลกนี้ไปได้ทุกเมื่อ เธอจึงตัดสินใจใช้ผลิตภัณฑ์ APCO ผลลัพธ์คืออาการค่อย ๆ ดีขึ้น ซึ่ง ศ.ดร. พิเชษฐ์ ได้อธิบายการทำงานของภูมิคุ้มกันบำบัดไว้ว่า
“เชื้อไวรัสที่เข้าไปในร่างกายจะไปซ่อนตัวอยู่ในเม็ดเลือดขาวภูมิคุ้มกัน ซึ่งนวัตกรรมของเราจะไปกระตุ้นเม็ดเลือดขาว Th17 และ เม็ดเลือดขาวเซลล์ T พิฆาต (Killer T Cell) เม็ดเลือดขาวเหล่านี้จะไปจัดการกับเชื้อไวรัสโดยตรงด้วยการสลายเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ติดเชื้อไวรัสนั้น พ่นสาร Grandzymes ทำให้เม็ดเลือดขาวที่ติดเชื้อแตกสลายไป เชื้อไวรัสที่อยู่ในนั้นก็จะสลายไปด้วย เพราะฉะนั้นเชื้อ HIV ก็จะลดลงไปเรื่อย ๆ อย่างชัดเจนจนอาการดีขึ้น”
หลักการโดยสรุปก็คือนวัตกรรมภูมิคุ้มกันบำบัดจะไปฆ่าเชื้อไวรัสที่อยู่ในร่างกายด้วยการกระตุ้นเซลล์เม็ดเลือดขาวภูมิคุ้มกันนั่นเอง เนื่องจากร่างกายของคุณจอยอ่อนแอมากจึงต้องใช้ผลิตภัณฑ์ APCO ในการช่วยกระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาวภูมิคุ้มกัน
“การได้ชีวิตใหม่ คือของขวัญอันล้ำค่าของคุณจอยและครอบครัว”
อาการของคุณจอยค่อย ๆ ดีขึ้นตามลำดับ อาการปอดอักเสบหายไป ผิวพรรณสดใสขึ้น จากที่รู้สึกแย่ในหลาย ๆ เรื่องก็เริ่มมีกำลังใจขึ้นมา ซึ่งในตอนแรกเธอมีอาการเครียดพอสมควรเพราะกลัวว่าจะจากลูก ๆ ไปก่อนเวลาอันควร แต่พอเธอเลือกที่จะสู้ด้วยวิธีการที่เหมาะสม อาการของเธอก็เป็นไปในทิศทางที่ดี คุณจอยจะไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจทุก 6 เดือน ล่าสุดค่า CD4 ของเธออยู่ที่ประมาณ 400 กว่า นั่นเป็นเรื่องที่น่าดีใจมาก ๆ ร่างกายเริ่มแข็งแรง ออกกำลังกายต่อเนื่องได้เป็นชั่วโมงโดยที่ไม่เหนื่อยล้า เธอถึงขั้นพูดกลางบทสัมภาษณ์ว่า “โคตรดีใจเลย” เพราะวันนั้นเธอเลือกที่จะสู้ ในวันนี้เธอจึงได้รับชีวิตใหม่ ณ ปลายทาง
ว่ากันว่าอาการเจ็บป่วยมักจะแปรผกผันกับความรักและกำลังใจ ยิ่งผู้ป่วยได้รับความใส่ใจ มีความรักรอบกาย อาการป่วยจะดีขึ้นอย่างน่ามหัศจรรย์ สุดท้ายนี้คุณจอยฝากบอกกับผู้ป่วยทุกคนว่า
“ตอนนั้นรู้แค่ว่าเราต้องสู้ ไม่มีใครช่วยเราได้ เราต้องช่วยตัวเอง แล้วก็มีครอบครัวเลยพยายามคิดถึงลูกเยอะ ๆ เลยมีกำลังใจ อยากให้กำลังใจทุกคนให้สู้ ล้มแล้วยังลุกได้ อย่าเพิ่งท้อ คิดถึงคนที่เรารักไว้จะได้มีแรง ที่สำคัญคือให้กำลังใจตัวเองเยอะ ๆ ด้วยค่ะ”
และทั้งหมดคือบทพูดให้กำลังใจของคนที่เคยมีค่า CD4 เหลือแค่ 3 เรียกง่าย ๆ คือเกือบจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่วันนี้เธอมีชีวิตใหม่ที่สดใส มีรอยยิ้มกับคนในครอบครัว ตราบจนจะมีร่างกายที่แข็งแรงพร้อมอยู่บนโลกนี้ไปอีกนาน