ชีวิตที่ต้องเจอกับโรคร้ายคือชีวิตที่ไม่มีใครอยากเจอ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่บังเอิญโชคร้ายตรวจพบว่าร่างกายเจ็บป่วยและยังเป็นโรคที่รักษายาก มีโอกาสที่จะทรมานจนเสียชีวิตได้ ก็ต้องหาวิธีรักษาที่ดีและเหมาะสมกับตนเองมากที่สุด หลายต่อหลายคนท้อแท้กับการต่อสู้เพราะไม่เจอวิธีที่ช่วยร่างกายได้เสียที จนท้ายที่สุดแล้วอาการก็ทรุดลงเรื่อย ๆ ด้วยเหตุผลนี้จึงทำให้ ศ.ดร. พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา หัวหน้าคณะวิจัย Operation BIM อุทิศชีวิตเพื่อหาวิธีช่วยเหลือผู้คนที่มีปัญหาสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็น ติดเชื้อ HIV เป็นมะเร็ง ฯลฯ อาจารย์มีความเชื่อว่าทุกปัญหาต้องแก้ไขได้ โดยเฉพาะเรื่องสุขภาพ เพราะมันคือหน้าที่ของนักวิทยาศาสตร์อย่าง ศ.ดร. พิเชษฐ์ ที่จะต้องพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อมอบสุขภาพที่ดีให้แก่ผู้คน
“ภูมิคุ้มกันบำบัด…นวัตกรรมใหม่ในการดูแลสุขภาพ”
นับเป็นระยะเวลากว่าหลายสิบปีที่ ศ.ดร. พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา และคณะวิจัย Operation BIM ค้นคว้าศึกษาจนได้วิธีการ “ภูมิคุ้มกันบำบัด” ซึ่งมีประสิทธิภาพ ประหยัด ปลอดภัย ไร้ผลข้างเคียง โดยวิธีนี้จะสามารถช่วยชีวิตผู้คนได้มหาศาลอย่างยั่งยืน อธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ เมื่อร่างกายเจ็บป่วยโดยเฉพาะเมื่อเป็นโรคร้าย นั่นหมายความว่าภูมิคุ้มกันของร่างกายอยู่ในระดับที่ต่ำจนเชื้อโรคเข้ามาทำลายระบบต่าง ๆ ได้ การใช้ “ภูมิคุ้มกันบำบัด” นั้นเป็นนวัตกรรมที่จะกระตุ้นเม็ดเลือดขาวภูมิคุ้มกัน จากนั้นก็จะไปจัดการกับเซลล์ที่ผิดปกติอันเนื่องมาจากเชื้อโรคที่เข้ามาในร่างกาย ทั้งหมดที่กล่าวมานั้นเป็นกระบวนการธรรมชาติซึ่งสามารถรักษาโรคได้มากมาย นี่คือวิธีการคร่าว ๆ ที่พอจะอธิบายการทำงานของภูมิคุ้มกันบำบัดได้
“ดูแลสุขภาพ เปลี่ยนชีวิตจากร้าย กลายเป็นดี”
นอกเหนือจากเรื่องของภูมิคุ้มกันบำบัดแล้ว ศ.ดร. พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา และทีมงานยังดูแลผู้ป่วยโรคร้ายไปจนถึงสุขภาพในเชิงลึก วิเคราะห์แบบ Case by case ว่าใครเป็นอย่างไร ต้องรักษาแบบไหน ติดตามอาการตั้งแต่โคม่าจนกลายเป็นคนที่สุขภาพแข็งแรง เพราะภูมิคุ้มกันบำบัดนั้นต้องทำควบคู่ไปกับการดูแลสุขภาพทั้งการรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย การพักผ่อน จิตใจ เพื่อปรับสมดุลการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันให้มีประสิทธิภาพจนสามารถต่อสู้กับโรคร้ายได้ ดังนั้นอาจารย์จึงต้องคอยดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด คอยไถ่ถามและสังเกตอาการของผู้ป่วยอย่างสม่ำเสมอ
“ผู้ป่วยโรคร้าย รักษาจนกลับมาแข็งแรงได้อย่างไม่น่าเชื่อ”
หลายต่อหลายคนเข้ามาพบอาจารย์ด้วยความหวังว่าจะมีสุขภาพที่ดีขึ้น และพวกเขาเหล่านั้นก็ได้สมหวังจริง ๆ ทั้งผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย ผู้ติดเชื้อ HIV ขั้นรุนแรงจนสูญเสียดวงตา ผู้ติดเชื้อ HIV ซ้ำยังเจอโรคแทรกซ้อนที่รุนแรงไม่แพ้กันอย่างก้อนเนื้อร้ายในสมอง บางรายอาการหนักถึงขั้นหมดลมหายใจไปแล้วแต่ก็ยังปั๊มหัวใจจนฟื้นขึ้นมา หรือบางรายเป็นผู้ป่วยติดเตียงนานเป็นเดือน จากคนที่ร่างกายอ่อนแอจนเดินไม่ได้ ทุกวันนี้หลายคนสามารถเดินได้อย่างคล่องแคล่ว หรือมีค่า CD4 สูงขึ้นจนแข็งแรงกว่าคนที่ไม่ได้เป็นโรคอะไรเลยด้วยซ้ำ เพราะนอกจาก ศ.ดร. พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา จะมีนวัตกรรม “ภูมิคุ้มกันบำบัด” ในการรักษาผู้ป่วยแล้ว ยังมีโครงการให้เข้าร่วมเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันดูแลสุขภาพด้วยวิธีอื่น ๆ ควบคู่กันไป ผลลัพธ์จึงออกเป็นที่น่าพอใจทั้งกับผู้ป่วยและตัวอาจารย์เอง เมื่อเห็นว่าเรื่องที่ทำอยู่จะเป็นประโยชน์กับบุคคลทั่วไปจึงเกิดมาเป็นรายการสัมภาษณ์ผู้ป่วยโรคร้ายหลาย ๆ คนที่ให้ความร่วมมืออยากจะถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตที่ต้องรับมือกับโรคร้ายตลอดจนได้มาพบกับการรักษาที่สร้างชีวิตใหม่ให้กับพวกเขาอย่างภูมิคุ้มกันบำบัด ศ.ดร. พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา ได้เล่าเกี่ยวกับการสัมภาษณ์ผู้ป่วยไว้ว่า
“หลาย ๆ คนที่เข้ามาให้สัมภาษณ์เนี่ยผมติดตามอาการเขามาตลอด เวลาที่เขาบรรยายถึงอาการเจ็บป่วย ความลำบากที่ผ่านไป เขาพูดด้วยน้ำตาคลอ ๆ เป็นธรรมชาติของมนุษย์นะครับ ทุก ๆ ครั้งที่เขาพัฒนาดีขึ้นเราก็ดีใจตลอด เราก็มีกำลังใจว่าสักวันหนึ่งเขาคงจะหายจริง ๆ เหมือนคนปกติจริง ๆ และในวันนี้วันที่เขามาบอกว่าเป็นปกติแล้ว ผมเองเนื่องจากใส่ใจเขามาตลอดเวลาก็อดไม่ได้ที่จะน้ำตาคลอไปด้วย ความรู้สึกอย่างนี้ผมว่าหาซื้อด้วยเงินไม่ได้ มันมีคุณค่ามหาศาลในเรื่องของกำลังใจ ยิ่งเขาบอกว่า ถ้าไม่มีเราเขาก็ไม่มีชีวิต เราก็ไม่เคยคิดว่าจะได้ยินคำเหล่านี้จากคนที่เราตั้งใจจะช่วยเหลือเสมือนเป็นหน้าที่ แต่เมื่อเขาคิดว่าเราไม่ได้ทำแค่หน้าที่ เราทำเกินกว่าที่เราตั้งใจจะทำ ก็รู้สึกตื้นตันเหมือนกันนะ”
แน่นอนว่าการได้ช่วยเหลือชีวิตเพื่อนมนุษย์ด้วยกันนั้นเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก ไม่แปลกใจเลยที่อาจารย์จะมีความรู้สึกตื้นตันอย่างเอ่อล้น สิ่งนี้มีคุณค่าทางใจอย่างประเมินค่าไม่ได้โดยสิ้นเชิง
“ขอบคุณผู้ป่วยทุกคนที่ยังมีชีวิตอยู่”
ศ.ดร. พิเชษฐ์ วิริยะจิตราพูดเสมอว่าขอบคุณทุกคนจริง ๆ ที่สู้ไปด้วยกัน พิสูจน์ให้โลกเห็นว่าถ้าดูแลทั้งร่างกายและจิตใจได้เป็นอย่างดี ต่อให้อาการป่วยจะรุนแรงแค่ไหนเชื้อโรคก็ทำอะไรไม่ได้เลย เพราะถ้าว่ากันตามตรงโอกาสที่คนเป็นเอดส์ระยะสุดท้าย หรือมะเร็งแบบระยะที่ไม่มีทางเลือกจะรักษาแล้ว รอดชีวิตมาได้เกือบสิบปี ก็ยังไม่มีนวัตกรรมไหนทำได้แบบนี้ ความสำเร็จนี้เกิดขึ้นจากความร่วมมือของทุกฝ่ายนั่นเอง อาจารย์ยังเล่าให้ฟังอีกว่าพวกเขาเหล่านี้ที่เป็นผู้ป่วยนั้นทำให้ตนเองและคณะนักวิจัยมีกำลังใจในการทำงานต่อไป เมื่อได้เห็นผู้คนมีสุขภาพแข็งแรงขึ้นก็รู้สึกฮึกเหิมที่จะทำงานลักษณะนี้ต่อไปเรื่อย ๆ เพื่อช่วยเหลือผู้คนให้ได้มากขึ้นไปอีก
สำหรับใครที่รู้สึกหมดกำลังใจหรือท้อแท้กับสิ่งที่เผชิญอยู่ อยากบอกว่าโลกใบนี้ยังมีทางเลือกอีกมากมาย อยากให้เชื่อว่าทุกอาการป่วยนั้นจะรักษาได้ ร่างกายอ่อนแอได้แต่อย่าปล่อยให้จิตใจอ่อนแอไปด้วย เพราะจิตใจที่เข้มแข็ง บวกกับการดูแลสุขภาพที่ถูกต้องเหมาะสม จากผู้ป่วยระยะสุดท้ายก็สามารถกลับมาแข็งแรงได้ถ้าคิดจะสู้