HIV และ ก้อนเนื้อร้าย ฝ่าฟันได้พร้อมรอยยิ้ม
HIV และ ก้อนเนื้อร้าย ฝ่าฟันได้พร้อมรอยยิ้ม

HIV และ ก้อนเนื้อร้าย ฝ่าฟันได้พร้อมรอยยิ้ม

ถ้าพูดถึงเชื้อ HIV คงเป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากจะพบเจอ เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่ร่างกายติดเชื้อไวรัสตัวนี้ มันจะเข้าไปทำลายระบบภูมิคุ้มกันจนร่างกายอ่อนแอ ซึ่งนี่คือความน่ากลัวของ HIV เชื้อไวรัสตัวนี้ไม่ได้ทำร้ายร่างกายโดยตรง แต่จะค่อย ๆ ทำลายระบบในร่างกายจนอาจถึงแก่ชีวิตได้ ในระยะเริ่มต้น 4 สัปดาห์แรกของการติดเชื้อ HIV ในผู้ติดเชื้อบางรายจะมีอาการเหมือนคนเป็นไข้ ครั่นเนื้อครั่นตัว ปวดเมื่อย เป็นแบบนั้นอยู่สักประมาณ 3-4 สัปดาห์ก็จะหายไป จากนั้นเม็ดเลือดขาวภูมิคุ้มกัน CD4 ก็จะค่อย ๆ ลดลง ส่งผลให้โรคติดเชื้อฉวยโอกาสจะเริ่มเข้ามาสู่ร่างกาย สิ่งที่จะต้องทำก็คือรักษาค่า CD4 ไม่ให้ลดลงและต้องพยายามทำให้เพิ่มขึ้นด้วย เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมา มิเช่นนั้นโรคฉวยโอกาสจะเข้ามาทำร้ายผู้ติดเชื้อได้ ตั้งแต่โรคไวรัสตับอักเสบบี วัณโรค มะเร็ง และโรคร้ายอื่น ๆ อีกมากมายที่มีโอกาสเกิดขึ้นในช่วงที่ร่างกายภูมิคุ้มกันต่ำ

         โดยส่วนใหญ่แล้วสภาวะจิตใจของผู้ติดเชื้อในช่วงระยะแรกก็จะมีอาการตื่นตกใจ แต่เมื่อทำความเข้าใจกับ HIV อย่างลงลึกก็จะหาวิธีที่จะอยู่กับไวรัสตัวนี้ได้อย่างไม่ให้มาทำร้ายตนเองและผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ติดเชื้อที่ถึงขั้นเกิดโรคฉวยโอกาสแล้ว แต่ละคนก็มักจะมีอาการกังวลที่แสดงออกแตกต่างกัน หรือจะมีระยะเวลาในการกังวลที่สั้นหรือยาวขึ้นอยู่กับการปรับตัว อาการเครียดหรือกังวลตรงนี้ก็สามารถส่งผลต่ออาการป่วยได้ แม้จะไม่ได้กระทบโดยตรง 100% แต่ถ้าสภาวะจิตใจดีก็มีโอกาสที่จะต่อสู้กับโรคร้ายได้ง่ายกว่าผู้ป่วยที่มีสภาวะจิตใจตึงเครียด

“สภาวะจิตใจ มีผลต่ออาการเจ็บป่วย”

คุณนิว คือหนึ่งในผู้ติดเชื้อ HIV ที่ได้ตรวจเจอมะเร็งปากมดลูกซึ่งเป็นโรคฉวยโอกาสเข้ามาในช่วงที่ร่างกายภูมิคุ้มกันต่ำ แต่เธอผ่านมันมาได้พร้อมรอยยิ้มและจิตใจที่คิดบวกอยู่เสมอ

         “ติดเชื้อ HIV ตั้งแต่อายุ 18 ปีค่ะ พอมาถึงประมาณปี 54 อาการเริ่มออก วันนั้นปวดหัวมาก อยู่ห้อง ICU 3 คืน สมองบวม คุณหมอให้นอนพักฟื้นก่อนแล้วก็ตรวจเลือด ถ้าเป็นอะไรก็รักษาไปตามอาการ แล้วก็ได้รับยาต้านไวรัสในวันที่เข้าโรงพยาบาล นั่นคือเริ่มทานวันแรกเลยค่ะ ตอนนั้น CD4 อยู่ที่ประมาณ 200 กว่า อาการเริ่มแรกสุดก็คือ ปวดท้องแล้วก็ปัสสาวะมีเลือดปนออกมานิด ๆ จากนั้นก็ตัดชิ้นเนื้อไปตรวจปรากฏว่าเป็นเนื้อร้าย ก็ได้ทำรังสีบำบัด 25 ครั้ง เคมีบำบัด 5 ครั้ง ใส่แร่ 4 เม็ด ร่างกายเราก็แย่แต่มีกำลังใจสู้ต่อ สู้เพื่อตัวเองค่ะ”

         ในกรณีของคุณนิว ศ.ดร. พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา หัวหน้าคณะวิจัย Operation BIM ที่ค้นพบนวัตกรรม “ภูมิคุ้มกันบำบัด” ได้อธิบายไว้ว่า

         “การรับยาต้านไวรัสไม่ได้ไปฆ่าเชื้อไวรัส แต่ทำให้ HIV ตรวจวัดไม่ได้ พอหยุดยาต้านไวรัสเมื่อไหร่ HIV ก็กลับมา แต่เนื่องจากไม่มีทางเลือก แม้ว่าในระยะยาวจะมีผลข้างเคียง ตลอด 9 ปีที่คุณนิวกินยาต้านไวรัส จะเห็นอาการข้างเคียงชัด ๆ เลยก็คือ ผิวคล้ำ แขนขาลีบ ถ้ายังใช้อย่างต่อเนื่องก็มีโอกาสเดินไม่ได้เพราะกล้ามเนื้อจะอ่อนแรง ส่วนการใส่แร่ก็คือกัมมันตะภาพรังสี เซลล์ที่เจริญเติบโตเร็วก็จะโดนทำร้ายมากกว่า แต่ไม่ใช่เฉพาะเซลล์ที่เจริญเร็วเท่านั้น เซลล์ปกติก็โดนไปด้วย ผลข้างเคียงเยอะ คนที่นั่งใกล้ ๆ ก็โดนรังสีจากการฝังแร่ได้ แต่ในสมัยก่อนก็เป็นวิธีรักษาที่ยังดีกว่าปล่อยให้เสียชีวิตครับ”

         ดูเหมือนว่าวิธีการรักษาของคุณนิวจะมีผลข้างเคียงมากมาย แต่เธอก็ยังสามารถต่อสู้กับโรคร้ายได้ แม้ว่าจะต้องทำทั้งการใส่แร่ เคมีบำบัดและรังสีบำบัด หลายต่อหลายครั้ง จนเธอได้มารู้จักกับ “ภูมิคุ้มกันบำบัด” นี่คือประตูสู่รอยยิ้มกว้างอันแสนมีความสุขของคุณนิว

“รักษาหลายแบบ รักษาหลายที่ จนมาเจอภูมิคุ้มกันบำบัด”

อาการป่วยของคุณนิวทำให้เธอต้องย้ายโรงพยาบาลบ่อยเพื่อเข้ารับการรักษาในวิธีการต่าง ๆ แต่เธอก็ยังไม่ดีขึ้นชนิดที่ร่างกายแทบจะไม่ไหวแล้ว จนมาวันหนึ่ง เธอบังเอิญได้เจอกับนวัตกรรม APCO ซึ่งเป็นนวัตกรรมการรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด จึงได้ทำการสั่งมากิน คุณนิวกินอยู่ประมาณ 2 เดือน ค่า CD4 ก็เพิ่มขึ้นจนเป็นที่น่าพอใจ

“หยุดใช้นวัตกรรมภูมิคุ้มกันบำบัดเร็วเกินไป ก็กลับมาป่วยใหม่ได้”

ดูเหมือนว่าคุณนิวจะรีบวางใจเร็วไปสักนิด เพราะเมื่อเธอเห็นว่าร่างกายเริ่มแข็งแรงขึ้น ค่า CD4 ขึ้นสูงถึง 650 เธอก็หยุดใช้ผลิตภัณฑ์ APCO ไปเสียอย่างนั้น ด้วยความคิดที่ว่าร่างกายโอเคแล้วก็เลยหยุดไปก่อนทั้งที่จริง ๆ ใกล้จะหายดีแล้ว พอหยุดได้ประมาณ 1 ปีอาการก็แย่ลง อีกทั้งก้อนเนื้อร้ายก็กลับมา ในกรณีนี้ศ.ดร. พิเชษฐ์อธิบายว่า

         “พอหยุดใช้นวัตกรรมภูมิคุ้มกันบำบัด CD4 เขาก็ตกลงมา เพราะว่า HIV ของเขายังมีอยู่ แล้วก็อาจจะเป็นเพราะว่ายาต้านไวรัสก็ไม่ค่อยได้ผล อาจจะมีการดื้อต่อยาต้านไวรัส พอ HIV เพิ่มขึ้นมันก็ไปทำลาย CD4 พอทำลาย CD4 ภูมิคุ้มกันก็ลดลง พอมาเป็นรอบสองก็กลับมาใช้ APCO อีกครั้ง ผมคิดว่าถ้าใช้มาต่อเนื่องก็จะไม่กลับมาเป็นอีก เหมือนเม็ดเลือดขาวลดลง ภูมิคุ้มกันลดลง โอกาสเป็นมะเร็งก็มีมากขึ้น เพราะผลิตภัณฑ์ของเราจะช่วยกระตุ้นเซลล์ T พิฆาตเพื่อไปวิ่งไล่จับเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ติดเชื้อ เกาะติดแล้วพ่นสาร Granzymes เข้าไปย่อยสลายเซลล์ที่ติดเชื้อนั้น รวมทั้งเชื้อที่อยู่ในเซลล์ เราฆ่าเชื้อ HIV ต่างจากผลิตภัณฑ์ยาต้านไวรัสที่ระงับการขยายตัวแต่ก็ยังมีเชื้อไวรัสซ่อนอยู่ในนั้น”

         เมื่อคุณนิวกลับมาใช้ผลิตภัณฑ์ APCO อีกครั้งก็ใช้เวลาอีกประมาณ 2 เดือนกว่าอาการจะดีขึ้น เธอเล่าว่าเธอเป็นคนไม่ซีเรียส ไม่คิดมาก ก็ใช้วิธีการรักษาโดยเคมีบำบัดควบคู่ไปกับภูมิคุ้มกันบำบัดของศ.ดร. พิเชษฐ์ ซึ่งมันได้ผลดีมาก ๆ คุณนิวเป็นคนที่มีรอยยิ้มบนใบหน้าในตลอดการสัมภาษณ์ เธอบอกตัวเองแทบจะทุกเวลาว่าให้สู้ อย่าคิดมาก เรื่องดี ๆ จะต้องเกิดขึ้นกับเธอ สิ่งที่รู้สึกได้อย่างชัดเจนก็คือพลังบวกที่ออกมาจากการพูด สีหน้า แววตา ท่าทาง เชื่อว่าสิ่งนี้คือส่วนสำคัญที่ทำให้เธอมีสุขภาพที่ดีขึ้นมาได้

         นอกเหนือไปจากการรักษาทางกาย การมีจิตใจที่เต็มไปด้วยพลังงานดี ก็ช่วยฟื้นฟูร่างกายได้เยอะเลยทีเดียว