การติดเชื้อ HIV คือ ภาวะที่จะทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายค่อย ๆ ลดลง เพราะโดยปกติแล้วร่างกายจะมีเม็ดเลือดขาว CD4 (T-helper) ซึ่งเป็นภูมิคุ้มกันสำคัญที่มีหน้าที่ควบคุม และต่อสู้กับเชื้อโรคต่าง ๆ เมื่อไหร่ก็ตามที่ร่างกายติดเชื้อ HIV เชื้อไวรัสจะไปทำลายระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ค่า CD4 ต่ำลง (คนปกติจะมีค่า CD4 ที่ 600 – 1,000 เซลล์ต่อเลือด 1 ลบ. มม.) หมายความว่า HIV คือ ภาวะอาการติดเชื้อ HIV ไม่ได้ทำร้ายตัวผู้ติดเชื้อแต่จะทำลายภูมิคุ้มกันให้ลดลงไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งร่างกายอ่อนแอ ไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคต่าง ๆ ได้ จนพัฒนาไปเป็นเอดส์ (AIDS) และยังมีโอกาสที่จะเป็นโรคต่าง ๆ เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันบกพร่องส่งผลให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “โรคฉวยโอกาส”
การเกิดโรคฉวยโอกาส หรือ การพัฒนาไปเป็นโรคเอดส์ คือ ภาวะที่น่ากลัว และอันตรายมากของ HIV อย่างที่กล่าวไปว่า HIV ไม่ได้ทำร้ายร่างกายของผู้ติดเชื้อโดยตรง แต่กลับไปทำลายระบบภูมิคุ้มกันซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือร่างกายจะรับเชื้อโรค และเกิดอาการเจ็บป่วย ผลที่เกิดขึ้นจะรุนแรง หรือบางเบาแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับร่างกายของผู้ติดเชื้อ
“โรคฉวยโอกาส จาก HIV มุ่งหน้าสู่มะเร็ง”
จะเห็นได้ว่าโรคฉวยโอกาสที่เกิดจาก HIV เป็นเรื่องที่น่ากังวลสำหรับผู้ติดเชื้อ คุณเอคือหนึ่งในผู้ที่ประสบพบเจอกับความแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นดังกล่าว เธอรู้ตัวว่าติดเชื้อ HIV ตั้งแต่อายุ 18 ปี และในระยะเวลาต่อมากว่า 10 ปีก็ได้พบว่าตนเองป่วยเป็นมะเร็งอีกด้วย
“ทราบว่าตัวเองติดเชื้อ HIV ตั้งแต่อายุ 18 ค่ะ เราทราบเพราะแฟนคนแรกเสียชีวิต จากนั้นคุณแม่ได้พาไปรักษา จนวันหนึ่งได้มาเจอแฟนใหม่ คุณหมอแนะนำให้เราทานยาต้านเพื่อไม่ให้ไปสู่ลูก ซึ่งตอนนั้นร่างกายเราปกติดี จนลูกโต อายุตอนนั้นประมาณ 30 ปลาย ๆ เราป่วยบ่อยจนทนไม่ไหวเลยไปหาหมอ หมอตรวจพบกว่าค่า CD4 ต่ำมากเหลือแค่ 16 โชคดีมากที่ยังไม่ตายและรอดมาได้ คุณหมอเลยให้ยาที่ช่วยป้องกันพวกโรคฉวยโอกาส แรก ๆ มีอาการแพ้ค่ะ มีไข้หนาวสั่นตลอดเวลา กินข้าวก็อาเจียน ช่วงนั้นรู้สึกว่าอาการหนักมาก ทำให้เราเปลี่ยนยาหลายตัวมากจนมาเจอตัวที่เข้ากันกับร่างกายเราได้เลยกินตัวนั้นมาตลอด ทุกอย่างก็เริ่มดีขึ้น เราก็ใช้ชีวิตปกติอีกครั้ง หลายปีต่อมาก็เริ่มปวดหัวบ่อย เราคิดว่าเป็นไมเกรน แรก ๆ กินยาไมเกรนก็หาย แต่หลัง ๆ ปวดจนน้ำตาไหล เหมือนมองเห็นเป็นภาพซ้อน เลยไปหาหมอแสกนสมอง ก็เจอว่ามีก้อนเนื้อในสมอง”
จากอาการของคุณเอที่พบว่าค่า CD4 อยู่ที่ 16 ซึ่งต่ำมาก เนื่องจาก HIV ทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาวซึ่งเป็นเซลล์ภูมิคุ้มกันให้ลดลงไปเรื่อย ๆ ส่งผลให้ร่างกายไม่มีความสามารถในการต่อต้านสิ่งแปลกปลอมรวมไปจนถึงเชื้อมะเร็ง นี่คือความร้ายกาจของโรคฉวยโอกาส และเนื่องจากว่ายาต้านไวรัสไม่ได้ไปฆ่าเชื้อไวรัสที่มีอยู่ แต่เพียงแค่ระงับไม่ให้เชื้อขยายตัว นอกจากนี้ยังทำให้เกิดผลข้างเคียงอย่างการอาเจียนที่เกิดขึ้นกับคุณเออีกด้วย
“HIV และ มะเร็ง เมื่อสองสิ่งนี้เกิดขึ้นในร่างกาย เธอสู้กับมันได้อย่างไร?”
อันที่จริงแล้วในตอนแรกที่ตรวจพบก้อนเนื้อในสมองของคุณเอ เธอก็ยังไม่ทราบว่าตนเองเป็นอะไรกันแน่ รู้แค่เพียงว่ามีอาการผิดปกติเกิดขึ้นกับร่างกาย ส่วนรายละเอียดของอาการป่วยที่เกิดขึ้นคุณหมอบอกแต่ทางครอบครัวเท่านั้น ทำให้คุณเอไม่อาจรับรู้ได้ว่ากำลังป่วยเป็นอะไรกันแน่
“ในช่วงก่อนผ่าตัดก้อนเนื้อ คุณหมอให้พวก Steroid แต่ไม่ได้ช่วยให้ก้อนเนื้อเล็กลง มันเริ่มใหญ่ขึ้นจนกำลังจะไปทับเส้นประสาทตา ต้องทำการนัดผ่าตัดให้เร็วที่สุด พอผ่าออกคุณหมอก็ทราบแล้วว่ามันคือก้อนเนื้อมะเร็ง ทางบ้านรู้เรื่องนี้แต่ไม่ได้บอกเรา เราเพิ่งจะรู้ทุกอย่างตอนหลังจากที่เราดีขึ้นแล้ว ไม่มีใครบอกอะไรเลย พูดแต่ว่าเดี๋ยวต้องหาย พวกเขายังไม่ถอยเลย เราก็ห้ามถอย ทุกคนเข้าใจว่าเราเป็นอะไรแต่ไม่กล้าพูด พอรู้สึกตัวก็สงสัยว่าทำไมขยับตัวไม่ได้ จะลุกไปอาบน้ำก็ไม่ได้ คุณหมอก็พาไปทำกายภาพบำบัดทุกวัน ตัวเราเองก็โวยวายว่าทำไมต้องทำ จะนั่ง แต่พอลุกมันนั่งไม่ได้ค่ะ รู้สึกเจ็บมาก และสุดท้ายมะเร็งก็ลุกลามไปที่ต่อมน้ำเหลืองแล้วก็กระดูกสันหลัง เป็นผู้ป่วยติดเตียงเป็นปีเลยค่ะ คุณแม่ต้องเปลี่ยนแพมเพิร์สและทำทุกอย่างให้หมดเลย ตอนแรกจริง ๆ เราก็รู้สึกเสียใจแต่ไม่ได้หมดหวัง ด้วยความที่เรามีที่บ้าน Support ตลอด ถามว่าท้อไหมก็ท้อลึก ๆ นะคะ เพราะคนที่เป็นอ่ะไม่มีใครไม่ท้อหรอก”
การที่ติดเชื้อ HIV เอาจริง ๆ ก็เป็นเรื่องที่ทำให้สภาพจิตใจแย่อยู่แล้ว ซ้ำร้ายยังมาพบว่าเป็นมะเร็งอีกด้วย แต่กำลังใจของคุณเอที่ได้รับจากครอบครัวนั้นเปี่ยมล้นช่วยให้เธอผ่านเรื่องเลวร้ายเหล่านี้ไปได้ นอกจากกำลังใจแล้ว ทางคุณแม่ของคุณเอยังได้ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการรักษาจนไปเจอ “ภูมิคุ้มกันบำบัด” ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่คิดค้นโดย ศ.ดร. พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา และคณะนักวิจัย Operation BIM
“ภูมิคุ้มกันบำบัด กายภาพบำบัด และกำลังใจ ช่วยให้เธอสู้กับมะเร็งและ HIV ได้”
จากการที่คุณแม่ไปเจองานวิจัยของ Operation BIM เป็นเหมือนกุญแจสำคัญที่ทำให้คุณเอรักษาตัวจาก HIV และก้อนเนื้อร้ายได้ โดยที่คุณเอไม่ได้ทำเคมีบำบัดและรังสีบำบัด ศ.ดร. พิเชษฐ์ได้อธิบายการทำงานของภูมิคุ้มกันบำบัดนี้ว่า
“ภูมิคุ้มกันบำบัดจะไปกระตุ้นเม็ดเลือดขาวเซลล์ T พิฆาต (Killer T cell) ที่มีหน้าที่ไปฆ่าเซลล์ทุกชนิดที่ผิดปกติในร่างกาย เพราะฉะนั้นสิ่งนี้จะช่วยเหลือผู้ที่ภูมิคุ้มกันต่ำได้อย่างยั่งยืนโดยที่ไม่มีผลข้างเคียงใด ๆ เพราะโดยปกติแล้วการทำเคมีบำบัดและรังสีบำบัดจะเป็นการไปฆ่าเม็ดเลือดขาวและเกล็ดเลือด ภูมิคุ้มกันก็จะลดลง มีโอกาสที่ผู้ป่วยจะติดเชื้อในระหว่างที่ทำเคมีบำบัดจนอาจจะเสียชีวิตได้”
ถือเป็นความโชคดีของคุณเอที่ทางครอบครัวมีความรู้ความเข้าใจในอาการป่วยของเธอเป็นอย่างมาก ครอบครัวของเธอไม่ยอมให้ทำเคมีบำบัดและรังสีบำบัดเนื่องจากตอนนั้นค่า CD4 ของคุณเอต่ำมากจึงยืนกรานว่ายังไงก็จะไม่ยอมให้ทำเด็ดขาด ให้ใช้ภูมิคุ้มกันบำบัดและทำกายภาพบำบัดต่อไป
“จากที่ร่างกายขยับไม่ได้ ทุกวันนี้กลับกลายมาเป็นผู้ที่เดินเหินได้อย่างคล่องแคล่ว”
หลังจากที่คุณเอใช้เริ่มใช้วิธีภูมิคุ้มกันบำบัดไปได้ประมาณ 1 เดือน เธอก็เริ่มลุกขึ้นนั่งได้โดยมีอาการเจ็บน้อยลง พอร่างกายเริ่มดีขึ้นก็ไม่เจ็บอีกต่อไป เธอเล่าว่าครั้งแรกที่เธอนั่งได้รู้สึกดีใจมาก จนเริ่มเดินได้คุณเอก็บอกกับตัวเองว่าเธอเป็นคนโชคดี เหมือนกับว่ายังไม่ถึงชะตา จนทุกวันนี้เธอสามารถลุกเดินเหินได้อย่างคนปกติแล้ว
การที่ได้เจอโรคร้าย ๆ พร้อมกันถึง 2 โรค จากความรู้สึกส่วนตัวแล้วคุณเอมองว่ามะเร็งเป็นสิ่งที่น่ากลัวกว่า HIV แต่ถ้าพูดตามหลักความเป็นจริงแล้ว การที่คุณเอมีก้อนเนื้อร้ายนั่นก็มีจุดเริ่มต้นมาจากเชื้อ HIV ถึงอย่างไรก็ตามในท้ายที่สุดคุณเอก็สามารถต่อสู้กับความเลวร้ายดังกล่าวได้สำเร็จ และสิ่งที่คุณเอขอบคุณที่สุดก็คือ ครอบครัวที่คอยดูแลและให้กำลังใจอยู่เสมอ นักกายภาพบำบัดที่คอยช่วยเหลือทั้งทางกายและจิตใจ และ ศ.ดร. พิเชษฐ์ วิริยะจิตราที่คิดค้นนวัตกรรมภูมิคุ้มกันบำบัดขึ้นมา ถึงแม้ว่าเธอจะรู้สึกท้อแท้บ้างในบางวันแต่สุดท้ายเธอก็ฝ่าฟันจนร่างกายกลับมาแข็งแรงได้อย่างคนปกติ